ตอนที่แล้วเล่าถึง นายทหารฝรั่งเศสสั่งการให้ทหารต่างด้าว เคลื่อนพลเข้าโจมตีบ้านพร้าวตามแผน พร้อมกองผสม ที่จะเข้าตีบ้านยาง ด้วยความประมาท และคิดว่ายังต้องเดินอีกตั้ง 4 กิโลเมตรจึงจะถึงที่ตั้งค่ายบ้านพร้าว ยังมีเวลาอีกมาก ฝ่ายฝรั่งเศส ทั้งหมดจึงเดินแถวกันมาอย่างสบายๆ พูดคุยกันไปด้วย บางคนสูบบุหรี่
** ความเดิม..อนุสาวรียชัยสมรภูมิ เกี่ยวอะไรกับไทย กับ ฝรั่งเศส (ตอนแรก) คลิ๊กที่ http://thaifernando.blogspot.com/2015/03/blog-post.html
ทหารไทยมองเห็นเงาตะคุ่มๆ ของกองระวังหน้าฝรั่งเศส เดินล่วงพ้นแนวรับของทหารไทยเข้ามา นิ้วของทุกคนก็แตะไกปืนโดยอัตโนมัต เสียงปืนที่ดังเปาะแปะแต่ไกลมาจากทิศเหนือ บ่งบอกว่าน่าจะมีอะไรเกิดขึ้นที่บ้านยางแล้ว แต่ด้วยวินัยที่ดีเยี่ยม ทหารไทยไม่มีใครเผลอทำปืนลั่นให้ข้าศึกรู้ตัว
จนในที่สุด แถวตอนเรียงสามของฝรั่งเศส ก็เข้ามาอยู่กลางกระหนาบ ของฝ่ายตั้งรับที่ซุ่มกำลังอยู่ในคูน้ำแห้ง แม้จะอยู่กลางพื้นที่สังหารแล้ว ทหารฝรั่งเศสยังหารู้ตัวไม่ จนกองระวังหน้าเดินเข้าไปเกือบจะถึงรังปืนกลหนัก ที่ถูกจัดให้ประเคนใส่ เมื่อเห็นว่าจะให้ใกล้กว่านี้อีกไม่ได้แล้ว ปืนกลหนักกระบอกแรกของทหารไทย ก็ลั่นไกปล่อยกระสุนตับแรกออกไป
เป็นสัญญาณให้ปืนทุกกระบอกของทหารไทย ส่งเสียงกึกก้องไปทั่วสมรภูมิ เสียงปืนที่ดังหูดับตับไหม้ในเวลากลางคืน กึกก้องไปหมด กระสุนแหวกอากาศ ดังเควี้ยวคว้าว ที่คูน้ำแห้งทหารไทยยิงไปตามแผน ผู้บังคับบัญชากำหนด หมดใดยิงไปทางซ้าย ก็ยิงไปยังเป้าหมายเฉพาะทางซ้าย ไม่วอกแวกไปยิงทางอื่น
พอถูกระดมยิง พวกทหารต่างด้าวฝรั่งเศสที่บาดเจ็บสาหัสล้มตาย ก็กองอยู่กับที่ พวกที่เหลือก็วิ่งหนีตายอย่างสุดกำลัง โหวกเหวกอลหม่านไปทั่ว เสียงที่ตะโกนว่า “ศรีโสภณ ศรีโสภณ” ทหารไทยก็วิ่งขึ้นจากที่มั่น ก็ไล่ติดตามยิง แต่ก็ไม่กล้าไปเร็วนัก เพราะยังไม่สว่างดี ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเป็นกับดักอยู่ข้างหน้า
ทหารไทยหน่วยหนึ่ง ตามเจอนายทหารฝรั่งเศสคนหนึ่งขี่ม้าสะเปะสะปะอยู่ ก็เข้าไปล้อมไว้ สั่งให้หยุดเป็นภาษาอังกฤษ แล้วให้ลงจากหลังม้าทันที นายทหารคนนั้นก็ยอมเชื่อฟังแต่โดยดีไม่คิดต่อสู้ เพราะถูกยิงบาดเจ็บที่สีข้าง ทหารไทยจึงคุมตัวไป ทหารต่างด้าว เมื่อเห็นเพื่อนล้มตายและถูกทหารไทยตามยิงไปติดๆ ก็ถอดใจ ทิ้งอาวุธหนีเอาตัวรอด
ที่ยังถืออยู่ในมือ พอเห็นทหารไทย ก็โยนปืนทิ้งหันหลังวิ่งไม่คิดชีวิต ทหารไทยก็ไม่ได้ยิงตาม แต่ปล่อยให้วิ่งหนี และไม่ได้วิ่งตามไปจับเป็นเชลย นอกจากพวกที่ยอมมอบตัว ทหารไทยอีกหมวด ตามไล่ข้าศึกพ้นแนวไม้มาก็ประจัญกับทหารฝรั่งเศสกลุ่มหนึ่ง พอเห็นทหารไทยก็ตกใจทิ้งปืนชูมือหรา มีอยู่คนหนึ่งถือถุงยาวๆ อยู่ ทหารไทยก็เข้าไปกระชากมา
เมื่อได้มาแล้วก็โบกมือไล่ให้วิ่งหนีไปทั้งหมด พอดึงออกมาจากถุง จึงเห็นเป็นธงไชยเฉลิมพลของกองพันทหารต่างด้าว III/5e REI ของฝรั่งเศสพร้อมเหรียญกล้าหาญครัวซ์ เดอ แกร์ (Croix de guerre) ปกติทหารจะไม่เอาธงไชยเฉลิมพลมาออกรบ เพราะถ้าเสียทีจะถูกข้าศึกยึดไป ก็จะเสียหายถึงเกียรติภูมิของชาติไปด้วย แต่ด้วยฝรั่งเศสเห็นว่าคงจะชนะแน่ ถึงพาธงไชยเฉลิมพลมาด้วย เพื่อจะเอาไว้ฉลองชัยชนะ
พอทหารไทยเอาธงนี้ไปให้พวกเชลยฝรั่งเศสที่จับมาได้ดู เชลยเห็นเข้าถึงกับออกอาการเซ็ง บางคนถึงกับร้องไห้ สงสารเพื่อนที่มาตายหมู่ครั้งนี้ ธงนี้เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ด้านละประมาณ 90เซนติเมตร พื้นสีเทาอ่อน มีขลิบโดยรอบ ด้านหนึ่งมีรูปหน้าเสือ อีกด้านหนึ่งเป็นอักษร บอกนามหน่วย มีเหรียญครัวซ์ เดอ แกร์ กับเหรียญตรามังกร และเหรียญอื่น ประดับอยู่ที่ยอดเสาธง รวม 3 เหรียญ
การรบในยกแรกไม่เกิน 30 นาที แต่การรบวันนั้นยังไม่ยุติ เพราะเหตุการณ์อีกด้านทางบ้านยาง ที่เสียงปืนดังขึ้นก่อนหน้านั้น ผู้บังคับบัญชากองทัพทหารราบซึ่งตั้งอยู่ในที่มั่น คิดว่าเป็นแค่กลลวงของฝรั่งเศสว่าจะเข้าตี แต่ความจริงแล้วจะตีบ้านพร้าว เพราะยังยิงกันแค่เปาะแปะ พอได้ยินเสียงปืนดังขึ้นปานโลกาวินาศทางทิศใต้บ้านพร้าม เสียงปืนของฝ่ายฝรั่งเศสก็เงียบไป
ทหารไทยที่บ้านยาง รอแล้วรออีกก็ไม่เห็นมีใครบุกเข้าโจมตีสักที เพราะกองกำลังผสม ทหารพื้นเมืองญวนเขมร พอได้ยินเสียงปืนของไทยหนักแน่นเขย่าประสาทเข้าเท่านั้น ก็เลยเผ่นดีกว่า นายทหารฝรั่งเศส เห็นลูกน้องวิ่งก็วิ่งตามบ้าง ในที่สุดก็ตะโกนให้ไปเจอกันที่ศรีโสภณเลย
ส่วนทหารปืนใหญ่ กับทหารรถถัง ฝรั่งเศส ที่อยู่แนวหลังได้รับคำสั่งให้ยิงได้ก็ยิงสุ่มไป พอให้มีเสียงเข้าไว้ แต่ไม่เข้าเป้า ถูกแต่ต้นไม้ในป่า กระสุนตกห่างๆ แนวหน้าของไทยไปมาก แต่กองร้อยปืนใหญ่ของไทย ได้ยิงถล่มจุดที่ตั้งหน่วย DMC ของทหารฝรั่งเศสโดนรถถัง และรถรบพังไป 3 คัน
ตอนช่วงสายวันนั้น รถถังแบบ 76 ( Vickers 6ton) ของไทยคันหนึ่ง ก็ควบตะบึงจากปอยเปตเข้ามาในสมรภูมิ เจอหมู่ปืนเล็กของทหารไทย ที่จำรถถังฝ่ายเดียวกันได้ แล้วส่งสัญญาณให้ทราบ มีกองทหารต่างด้าวหมวดหนึ่ง ที่ยังไม่ได้หนีโดยสิ้นเชิง และกำลังอยู่ระหว่างพยายามสนธิกำลังเข้าตีโต้ทหารไทยบ้าง แต่เคราะห์ร้ายที่เจอกับรถถังไทยเข้า
ผู้บังคับหมวด ทหารฝรั่งเศสโดนรถถังคันหนึ่งยิงเสียชีวิตในที่รบ ทหารฝรั่งเศสที่เหลือ จึงต้องวิ่งหนีป่าราบ ตอนที่รถถังมานั้นก็สายมากแล้ว ทหารราบของไทย กำลังตรวจตราพื้นที่ปะทะ รถถึงคันนั้นได้วิ่งตะบึงลงไปในคู ไม่ได้สะพานเพราะคิดว่าจะปีนขึ้นได้ แต่พอหัวทิ่มลงไป ตีนตะขาบก็ลอยไม่ติดดิน
จะเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ ต้องทิ้งไว้อย่างนั้น ตอนบ่ายจึงเอารถลากมาผูกสลิง แล้วดึงขึ้นมา ต่อมาเวลาประมาณ 12.00 น. ฝ่ายฝรั่งเศสส่งรถถัง จำนวน 5 คัน มาสนับสนุนการเข้าตีของทหารราบฝรั่งเศส และยิงลูกระเบิดใส่ฝ่ายไทย ฝ่ายไทยส่งรถถัง แบบ 76 จำนวนหนึ่งไป และได้บุกเข้าปฏิบัติการในแนวข้าศึกอย่าง รวดเร็ว รุนแรง เด็ดขาด
โดยไม่มีทหารราบติดตามไป ใช้เพียงการยิง และการเคลื่อนที่ของรถถัง พอรบลึกๆ เข้าไปก็เจอปืนใหญ่ต่อสู้รถถัง 25 มม. ทำให้รถถังไทยพังไป 2 คัน ฝรั่งเศสขุดสนามเพลาะไว้ตั้งรับแต่ก็ต้านกองทัพไทยไม่ได้ ทำให้ทหารข้าศึกเสียขวัญแตกกระเจิงไป และเมื่อเวลาช่วงเย็น ประมาณ 17.00 น. ทหารฝ่ายฝรั่งเศสส่วนที่เหลือตัดสินใจที่จะล่าถอยถอยออกไป
เวลาที่เหลือ ฝรั่งเศสใช้ในการลำเลียงศพเพื่อนที่ลากมาได้ และผู้บาดเจ็บใส่รถ คนที่เดินได้ก็เดินกลับไปศรีโสภณ จบวันมหาวินาศอันยาวนานการรบจึงยุติ ฝ่ายฝรั่งเศสเสียชีวิตไปประมาณ 110 นาย บาดเจ็บ 250 นาย สูญหาย 58 นาย ถูกจับเป็นเชลย 21 นาย
ตัวผู้บังคับกองพันของทหารต่างชาติ เสียชีวิตในที่รบ ค้นได้บัตรประจำตัว นอกนั้นได้เอกสารเกี่ยวกับการรบอีกด้วย ฝ่ายไทยเสียชีวิตในที่รบ 1 นาย (บางบันทึกว่าไม่ตาย) และได้รับบาดเจ็บอีก 2 นาย กองทหารเขมร และทหารญวนที่ติดตามมาอีก 2 กองพัน ได้แตกกระจัดกระจายไป ยึดรถถังมาได้ 6 คัน รัฐบาลทหารของไทยเอามาจอดให้ประชาชนชมที่สวนอัมพร
พล.ต.หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เอาใจเชลยศึกฝรั่งเศสเหล่านี้มาก เพราะว่าเคยเป็นอดีตนักเรียนนายทหารเก่าฝรั่งเศส จึงมีการสั่งอาหารจากโรงแรม 5 ดาว ซึ่งมีแห่งเดียวในขณะนั้น มาเลี้ยงเชลยเหล่านี้ รัฐบาลไทยเอารูปธงฯ ที่ยึดได้ ออกประจานฝรั่งเศสไปทั่วโลก
เหตุการณ์สงครามระหว่างรัฐบาลไทย กับ รัฐบาลอินโดจีนฝรั่งเศส เกิดติดๆ กันในวันที่ 16 มกราคม ซึ่งกองทัพบกฝรั่งเศส พ่ายแพ้ไทยยับเยิน ที่สมรภูบ้านพร้าว และต่อมาวันที่ 17 มกราคม ก็เกิดสมรภูมิรบทางเรือที่เกาะช้าง ซึ่งไทยเสียเรือรบชั้นเยี่ยมไปถึง 3 ลำ
และการรบทางอากาศระหว่างกัน เครื่องบินของกองทัพอากาศ ทั้งสองฝ่ายที่ยิงกันตกเป็นว่าเล่น คลังเชื้อเพลิงเกือบหมดแล้ว และคลังแสงกระสุนก็ร่อยหรอ ญี่ปุ่นคำนวณแล้วเห็นว่า พันธมิตรทั้งสอง คือ ไทย และ อินโดจีนฝรั่งเศส บอบช้ำเต็มที สมควรจะหยุดได้แล้ว
รัฐบาลญี่ปุ่น ได้เข้ามาไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทให้ยุติลง เมื่อมหาอำนาจบอกให้หยุด ทั้งไทยและอินโดจีนฝรั่งเศสไม่มีใครกล้าหือ โดยการตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อประชุมทำสัตยาบันสันติภาพ สงบศึกที่โตเกียว ที่กรุงโตเกียว ญี่ปุ่นก็เป็นฝ่ายนั่งฟัง ให้ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกัน จะเอาโน่นเอานี่ไปก่อน พอยันกันเหนื่อยหาที่ยุติไม่ได้ ญี่ปุ่นถึงจะทุบโต๊ะว่างั้นเอาอย่างนี้
ให้ไทยได้ดินแดนคืน แต่ก็ต้องจ่ายเงินมหาศาล ให้ฝรั่งเศสเป็นค่าชดเชยพร้อมกำไร เป็นค่าสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่อินโดจีนฝรั่งเศสได้ลงทุนไปแล้วในดินแดนที่จะยกให้ไทย อินโดจีนฝรั่งเศส กำลังขาดเงินหิวโหยอยู่แล้ว จึงยอมรับข้อตกลงดังกล่าว จึงเป็นอันว่าเป็นที่ยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย
ซึ่งต่างก็นำไปอ้างกับประชาชนของตนได้ว่าเป็นชัยชนะในข้อตกลง อินโดจีนฝรั่งเศส จึงยอมยกดินแดนหลวงพระบาง ฝั่งขวาของแม่น้ำโขง นครจำปาศักดิ์ กับที่ท่าสามเหลี่ยมฝั่งขวา และอาณาเขตมณฑลบูรพาเดิมให้กับไทย หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายชนะ ไทยก็ต้องคืนดินแดนให้ฝรั่งเศสไป แต่เงินนั้นฝรั่งเศสไม่ยอมคืนมา
ฝรั่งเศสก็ขอเจรจาขอให้ไทยคืนธงชัยเฉลิมพลสมรภูมิรบบ้านพร้าวดังกล่าว ฝ่ายไทยแสดงความเป็นมิตรจะได้เลิกเป็นศัตรูกันเสียที จึงคืนให้ฝรั่งเศสไปด้วยความเข้าใจเป็นอันดีถึงหัวอกทหารของเขา
ผลจากกรณีพิพาทระหว่าง 2 ประเทศในสงครามอินโดจีนครั้งนี้ ทำให้ประเทศไทยสูญเสียทหาร จำนวน 160 นาย จึงมีการสร้างอนุสรณ์สถาน คือ “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ “ ขึ้น เพื่อเทิดทูนวีรกรรมของทหาร ตำรวจ และ พลเรือน ที่เสียชีวิตไปในกรณีพิพาท รูปแบบใช้ดาบปลายปืนซึ่งเป็นอาวุธประจำกายทหาร ห้าเล่มรวมกัน จัดตั้งเป็นกลีบแบบลูกมะเฟือง ปลายดาบชี้ขึ้นบน ส่วนคมของดาบหันออก
ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ประดับศิลาอ่อน มีความสูงประมาณ 50 เมตร รอบดาบปลายปืนมีรูปปั้นนักรบ 5 เหล่า คือ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน ยืนล้อมรอบอยู่ ดาบปลายปืนส่วนด้ามตั้งเหนือเพดานห้องโถงใหญ่ ข้างล่างด้านในอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งใช้เก็บกระสุนปืนใหญ่ ภายในจะเป็นล็อคๆ คล้ายๆ ล็อคเกอร์ บรรจุอัฐิทหารที่เสียชีวิตในกรณีพิพาทไทย-ฝรั่งเศส ( น่าจะมีคนไทยจำนวนมาย ที่ไม่รู้ว่าข้างล่างด้านในอนุสาวรีย์เป็นอย่างไร)
ซอยรางน้ำ ใกล้ๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ คือ แหล่งชักน้ำขึ้นรดผักของคนจีนสมัยนั้น ที่ปลูกผักขาย การถมฐานอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สมัยนั้นจึงต้องใช้ดินที่ขุดขึ้นมาจากซอยแยก จากซอยรางน้ำ เช่น ซอยชวกุล ซอยวัฒนโยธิน และ ซอยอื่น ๆ
ด้านนอกของผนังห้องโถง เป็นแผ่นทองแดงจารึกนามผู้เสียชีวิต รายนามผู้ที่ได้รับการจารึกไว้ มีทั้งสิ้น 160 คน เป็นทหารบก 94 คน ทหารเรือ 41 คน ทหารอากาศ 13 คน และตำรวจสนาม 12 คน จนถึงปัจจุบันแผ่นทองแดงจารึกรายนามผู้เสียชีวิต และผู้สละชีพเพื่อชาติจากสงครามต่างๆ ตั้งแต่ พ.ศ.2483-2497 รวมทั้งสิ้น 801 คน
ทุกวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ของทุกปี องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และครอบครัวทหารผ่านศึก ทหารนอกประจำการ และผู้ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงของชาติ จะร่วมกันจัดพิธีวางพวงมาลาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อเป็นการแสดงความคารวะ ต่อดวงวิญญาณของเหล่านักรบผู้กล้า และยังมีพิธีสวนสนามที่ลานอเนกประสงค์ กองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ด้วย
ที่นี้ใครนั่งรถยนต์ หรือ รถไฟฟ้า ผ่าน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ กรุงเทพมหานคร ก็จะนึกถึงเนื้อหาในตอนนี้ได้ว่า เขาสร้างเพื่ออะไร มีที่มาเป็นอย่างไร ข้างล่างด้านในอนุสาวรีย์ฯ มีอะไรอยู่ และเล่าขานให้คนอื่นฟังได้อย่างภาคภูมิใจ !!
ส่วนแก๊งค์เผาไทย และกลุ่มก่อการร้ายแดง นปช. และผู้เกี่ยวข้อง ที่เคยใช้จ้างวานให้ไปปาระเบิด RGD-5 ใส่/ใส่ประชาชนที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2556 ที่ผ่านมาจนมีผู้ตายและบาดเจ็บนั้น ก็ถือว่าได้กระทำลบหลู่ วีรชน ของทหาร ตำรวจ พลเรือน และ ผู้สละชีพเพื่อชาติจากสงคราม
จะถูกคำสาบ โจมตีตามไล่ล่าเอาชีวิต ของพวกนั้น และครอบครัว เสมือนถูกไล่ล่าอยู่ในสงครามไม่รู้จักจบจักสิ้น จะมีอันเป็นไปตายอย่างทรมาณที่สุด..สังเกตุไหมว่า ทำไมจู่ๆ แกนนำคนเสื้อแดงถึงพร้อมใจ นัดกันตายมากผิดปกติเป็นใบไม้ร่วง..ลองไปนั่งคิดดู..ยังมีอีกเยอะ แล้วจะหนาว !!
Cr. เสธ น้ำเงิน3
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น